ย่านถนนกัลปพฤกษ์ไม่ไกลจากถนนกาญจนาภิเษก(วงแหวนรอบนอก) มีร้านอาหารทะเลสไตล์ไทยจีน เน้นของทะเลสดๆ เปิดมาได้เพียง 1 ปี ก็มีลูกค้าขาประจำมาอุดหนุนกันไม่ขาดสายแล้ว ร้านนี้มีชื่อว่า เล็กหงษ์โภชนา
เล็กหงษ์โภชนาคือสาขาที่ 2 ของร้านเล็กหงษ์ข้าวต้มปลาในย่านตลาดพลู ซึ่งพัฒนาให้มีเมนูพรีเมียมมากขึ้น โดดเด่นด้วยเมนูซีฟู้ดสดแสนสดสไตล์ไทยจีนและเมนูอื่นๆมากมาย ตัวร้านติดเครื่องปรับอากาศนั่งสบายมากขึ้น ซึ่งทำเลที่ตั้งของเล็กหงษ์โภชนาจะอยู่ไกลออกไป ริมถนนกัลปพฤกษ์ ในตลาดอินดี้เก่า ห่างจากถนนวงแหวนกาญจนาภิเษกแค่นิดเดียว
ร้านเล็กหงษ์ทั้งสองแห่งคือตัวอย่างของคนสู้ชีวิต คุณเอและคุณแนนมุ่งมั่นปรับปรุงคุณภาพรสชาติอาหาร จากเริ่มแรกที่ยังติดๆขัดๆทำรสชาติขาดๆเกินๆ ลองผิดลองถูกนานเป็นปี ฝึกฝนจนกระทั่งมีความชำนาญฝีมือขั้นเทพ ปรุงอาหารได้รสชาติดีเยี่ยมสุดยอด ระดับภัตตาคารเลยทีเดียว
ทางไปร้านนี้จากฝั่งกรุงเทพฯ ให้ข้ามสะพานสมเด็จพระเจ้าตากสิน(สะพานสาทร) วิ่งตรงยาวอย่างเดียวประมาณ 5.5 กม. จนถึงทางแยกให้เข้าช่องทางซ้ายมือที่มีป้ายบอกทางไปถนนกาญจนาภิเษก จากนั้นไปตามถนนกัลปพฤกษ์ อีกเกือบ 7 กม. แล้วไปกลับรถใต้สะพานต่างระดับก่อนเข้าถนนกาญจนาภิเษก วิ่งย้อนกลับมาตามถนนกัลปพฤกษ์เพียง 1.5 กม. ก็จะเห็นร้านเล็กหงษ์โภชนาริมถนนด้านซ้ายมือ เป็นตึกสีขาวเด่นๆมีป้ายร้านสีเหลืองแดงเห็นได้ชัดเจน อยู่ในโครงการตลาดอินดี้เก่า จอดรถหน้าร้านหรือด้านข้างโครงการได้สะดวกสบาย หรือให้ค้นหาในกูเกิ้ลแมพส์ว่า เล็กหงษ์โภชนา ได้เลย
ร้านนี้ติดเครื่องปรับอากาศทั้งหลัง เพดานสูงโปร่งโล่ง มีที่นั่งมากมาย ด้านในมีบ่อเลี้ยงปลาทำเป็นกระจกใสเห็นปลานานาชนิดแหวกว่ายอยู่ บางอย่างก็เลี้ยงโชว์เท่านั้น สำหรับให้เด็กๆที่มากินข้าวกับครอบครัวดูเล่น มีอ่างเลี้ยงหอยสดๆ มีน้ำพุอาบน้ำให้หอยแครงตัวโตๆตลอดเวลาเพื่อให้คายดินทรายออกมาหมดจด ทำได้ดีมากๆ ซึ่งในครัวนั้นว่าการโดยคุณแนน ศรีภรรยาของคุณเอ รสมือดีจริงๆ
ที่นี่มีของอร่อยมากมายไม่ได้จำกัดเพียงแค่อาหารทะเลเท่านั้น ถูกใจไปทุกอย่าง เริ่มกันที่ของอร่อยซึ่งเป็นเมนูทั่วไปกันก่อน ห้ามพลาดยำหมูกรอบน้ำข้น(160 บาท) รสชาติเข้มข้นหอมกลิ่นน้ำพริกเผา ยำน้ำข้นๆหอมมันครบทุกรส เคล็ดลับคือจะใส่นมข้นจืด(ฉลากไข่เจียว)ผสมกับน้ำพริกเผา ใส่พริกจินดาแดง หอมแดงแขกและผักชีใบเลื่อย หมูกรอบนั้นก็ทำเอง นำหมูสามชั้นมาต้ม ผึ่งให้แห้ง ทอดรอบแรกให้สุก จากนั้นก็ทอดรอบสองให้หนังกรอบ
ที่อร่อยจนตะลึงเข็มขัดสั้น(เกินคาดนั่นเอง ฮ่าๆๆ) กะหล่ำปลีผัดน้ำปลา(100 บาท) รสชาติความหอมเคลือบอยู่ที่ใบกะหล่ำ ใส่เบคอนอบแห้งหอมๆและปรุงด้วยซอสเอนกประสงค์ของร้าน(แนนเก่งมากคิดซอสผัดที่สามารถใช้ได้กับหลายเมนู)
นอกจากนี้ก็มีเมนูหนวดมังกร(100 บาท)อันหมายถึงผักบุ้งไทยที่เจียนเป็นเส้นๆผัดกับกระเทียมจีน ปรุงด้วยซอสเอนกประสงค์ แค่กินผัดผักก็มีความสุขแล้ว
มาเล็กหงษ์โภชนาไม่สั่งอาหารทะเลเหมือนมาไม่ถึงร้าน ที่ฮือฮากันทั้งโต๊ะคือหอยแครงจักรพรรดิซาชิมิ(ครึ่งกิโล 250 บาท) คือหอยแครงยักษ์(ไม่ใช่หอยคราง)ที่สดอร่อยไม่มีกลิ่นคาว(มาจากอ่างน้ำพุที่บอกไว้ตอนแรก)กรอบหวานมาก แล่เป็นชิ้นๆวางอยู่ในฝาหอย นอกจากนี้ก็มีหอยแครงลวกตัวเล็กกว่า(1 กิโล 500 บาท) ลวกมาสุกกำลังดี ซึ่งแนนฝากเลี้ยงในวังกุ้งของเพื่อนจนตัวโตกว่าร้านทั่วๆไป
เมนูทะเลซิกเนเจอร์ของเล็กหงษ์ที่ใครก็ต้องสั่งก็คือซาชิมิปลาไทย(ชุดละ 650 บาท) ต่างๆ(วันนั้นเราสั่งปลากุดสลาดซาชิมิแล่มาทั้งตัวด้วย คิดขีดละ 220 ตัวหนักครึ่งกิโล 1,100 บาท) เป็นปลาที่มาจากเรือเบ็ด เรือขนาดเล็กที่ทำประมงไปกลับภายในวันเดียวที่ระยองและพังงา มีมากกว่า 50 ชนิดหมุนเวียนเปลี่ยนไป ซึ่งราคาปลาจะเปลี่ยนไปตามฤดูกาลหรือราคาตลาด) แล่เป็นชิ้นๆเสิร์ฟมาในกระจาดใหญ่ ปักชื่อปลาบอกลูกค้าไว้ด้วย วันนั้นมีทั้งปลาช่อนทะเล(ที่แล่แยกอยู่ในจานแบนอีกต่างหากเพิ่มเติม) ปลากุดสลาดติดหนังเนื้อแน่นอร่อยมาก(ถ้าสั่งมาทั้งตัวต่างหาก คิดขีดละ 120-220 บาท) ปลากะพงแดง ปลาสละ ปลากะมงมันที่เนื้อปลามีไขมันเยอะ นอกจากนี้ก็มีหอยสังข์มะระกรอบๆอีกด้วย
ซึ่งข้อดีของเล็กหงษ์คือถ้าใครไม่กินปลาดิบ สามารถสั่งน้ำซุปใส่บ๊วยเปรี้ยวหอมและซุปข้าวต้มปลามาลวกกินได้ด้วย ลวกสลับกันในน้ำซุปบ๊วย และน้ำซุปข้าวต้มปลา กลายเป็นเมนูทรีอินวัน ทั้งปลาดิบ ข้าวต้มปลา(มีข้าวสวยแยกมาให้ 1 ถ้วย สำหรับทำข้าวต้ม) และปลาลวกจิ้มในน้ำซุปบ๊วย เพลินสุดๆ โดยพวกเราสั่งเต๋าเต้ยหม้อไฟ (ชุดเล็ก ตัวละ 5-6 ขีด 1,200 บาท) เนื้อมันๆมากินคู่กันอีก 1 ชนิด เอาก้าง กระดูกปลาและหัวลงไปต้มในน้ำซุปเพิ่มความหวานได้อีก
เท่านี้ยังไม่พอของดีชั้นเลิศประจำร้านยังมีกุ้งมังกรเจ็ดสีซาชิมิ(ขีดละ 350 บาท ตัวนี้3,885 บาท) เนื้อหวานสด ซึ่งนำมาลวกในน้ำซุปได้อีก ตามปกติสามารถให้ที่ร้านนำหัวกุ้งมังกร ไปทำต้มยำหรือข้าวต้มหัวกุ้งมังกรได้ฟรีอีกด้วย
ที่ขาดไม่ได้ก็คือข้าวผัดปู(จานเล็กสำหรับ 2 คน 180 บาท จานใหญ่สำหรับ 4 คน 360 บาท)ซึ่งแนนบอกว่าจะใช้เวลาผัดนานหน่อยจนหอมกลิ่นผัดในกระทะมากๆ ซึ่งจะปรุงด้วยซอสเอนกประสงค์ของร้านจนมีรสมีชาติเช่นกัน
ยังไม่หมดนะจ๊ะ เมนูทะเลที่ห้ามพลาดอีกอย่างคือกั้งกระดานทอดกระเทียม(ขีดละ 120 บาท จานนี้ 720 บาท) ผัดกับกระเทียมไทยผสมกระเทียมจีนหอมอร่อยอีกแล้ว
นอกจากนี้ก็มีปูทะเลผัดผงกะหรี่ตัวยักษ์ก้ามโตมาก(หนัก 1 กิโล 1,800 บาท) ออส่วนหอยนางรม(200 บาท)ใช้หอยนางรมปากจีบจากระยองตัวโตสดๆ ลวกและน็อกน้ำแข็งให้หอยเด้งๆ ผัดกับซอสผัดเอนกประสงค์ ใส่แป้งมันและแป้งท้าวยายม่อมกับไข่เป็ด ปูก้อนอบวุ้นเส้น(450 บาท) ใส่เนื้อกรรเชียงปูใหญ่ๆ(มาจากย่านพันท้าย) ซึ่งจะอบด้วยซอสผัดกะเพราเป็นซอสเอนกประสงค์อีกแบบที่ทำไว้สำเร็จรูป
น้องๆกรรมการเชลล์ชวนชิมบอกว่าถ้าวันไหนมีหอยท้ายเภาให้สั่งด้วยนะจ๊ะ จะลวกกับน้ำซุปที่ปรุงด้วยข่า ตะไคร้ ใส่ใบโหระพา ใครอยากมากินแค่ข้าวต้มปลาก็มีด้วย ได้ทั้งข้าวต้มปลาเก๋า(ชามละ 180 บาท) ข้าวต้มปลากะพง(ชามละ 90 บาท)
ส่วนเมนูปิดท้ายที่ไม่ใช่อาหารทะเลคือปีกไก่เหล้าแดง(145 บาท)ผัดกับซอสที่มีส่วนผสมของซอสมะเขือเทศ เหล้าจีน ซอสปรุงรส น้ำตาล น้ำมันงา โรยด้วยงาขาว เป็นเมนูกินเล่นได้ทั้งครอบครัว
จะเห็นได้ว่าร้านเล็กหงษ์โภชนาเป็นร้านระดับภัตตาคารที่มีเมนูมากมายจริงๆ โทรไปจองโต๊ะได้ที่ 06-1407-8688 และ 08-0246-8246 ร้านเปิดบริการทุกวันตั้งแต่ 11 โมงครึ่ง จนถึง 4 ทุ่มนะจ๊ะ