จุดแข็ง ความโดดเด่นของเชมิลินอยู่ที่ ราคาสมเหตุสมผลเพราะเชมิลินนำเข้าวัตถุดิบชั้นเลิศจากต่างประเทศเอง สายกินจะรู้ดีว่า ราคาเมื่อเทียบกับคุณภาพของวัตถุดิบชั้นเลิศเหล่านี้ ถือว่าดีงามมาก
อย่างเช่นปลาทูน่าหรือมากุโระ ปลาดิบที่นี่จะเป็นฮอนมากุโระหรือทูน่าครีบน้ำเงินจากญี่ปุ่น สุดยอดปลาทูน่า เพราะที่ร้านจะเป็นพันธมิตรกับผู้ประมูลชาวญี่ปุ่นในตลาดปลาโตเกียว (หนึ่งในห้ารายที่มีสิทธิ์ประมูล) ส่งสินค้ามาได้โดยตรง
ส่วนวัตถุดิบอื่นๆก็ใช้วิธีดีล ติดต่อโดยตรงกับเจ้าของฟาร์มหรือผู้ผลิต เช่น เนื้อแกะจากฟาร์มที่นิวซีแลนด์ ขึ้นชื่อเรื่องความนุ่ม แต่มันไม่เยอะเกินไป และเนื้อออสเตรเลียนวากิวจากเจ้าประจำที่สั่งกันโดยตรง
-พูดถึงบ้านโบราณว่าอายุ 100 กว่าปี เป็นอาคารปูนสมัยรัชกาลที่ 6 สถาปัตยกรรมประยุกต์ยุโรปผสมไทย หน้าต่างสีเขียว หลังคาสีแดง อย่าลืมไปถ่ายมุมยอดนิยมที่บันไดไม้กลางอาคารนะจ๊ะ
ตัวบ้านด้านในรับลูกค้าได้ประมาณ 70 คน ส่วนด้านนอกกลางแจ้งบริเวณสนามจะรองรับได้อีก 50 คน(เปิดเฉพาะช่วงหน้าหนาว) ข้างในแบ่งเป็นหลายห้องมี 2 ชั้น ด้านซ้ายมือเป็นห้องโซเชียลเลาน์จ เป็นห้องรวมมีหลายโต๊ะ รับได้ 28 คน มีโต๊ะกลม 6 ที่ซึ่งลูกค้ามักจะจองตลอด อยู่ตรงหน้าต่าง(ถ้าอยากได้ให้รีบจองนะจ๊ะ) ส่วนห้องด้านขวามีครัวเปิด รับได้ 14 คน ได้ดูโชว์ปรุงอาหาร
และด้านบนตรงบัลโคนี Balcony ข้างบันได มีโต๊ะสำหรับ 8 คน มีห้องส่วนตัวที่เรียกว่า The Long Table สำหรับมาเลี้ยงกันเป็นหมู่คณะอีก 18 ที่
Chez Miline รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า CUT Raw & Grilled เคยมีร้านอยู่ในย่านอารีย์ ซอยราชครู ก่อนย้ายมาอยู่ที่ถนนสุโขทัย จึงทำเป็นสองชื่อเลย โดยตอนนี้จะเน้นชื่อเช มิลินอย่างเดียว (เก็บเป็นข้อมูลเฉยๆ ซึ่งมาจากชื่อลูกชายมิลินทน์(ชื่อเล่นมิลิน))
เพราะเมนูอาหารมีความหลากหลายมากขึ้นทั้งอาหารสไตล์ฝรั่งเศสและตะวันตกผสมผสานกับความเป็นตะวันออก อีกทั้งสเต๊กและเมนูกริลล์ย่างๆต่างๆ ซึ่งใครจะสั่งเป็นจานๆ อลาคาทก็ได้ ไม่จำเป็นต้องสั่งเป็นคอร์ส ให้อิสระกับทุกคนในการสั่งอย่างเต็มที่
เช-มิลินตั้งอยู่ริมถนนสุโขทัย เลยซอยสุโขทัย 11 มาเล็กน้อย ก่อนถึงสี่แยกที่จะข้ามสะพานสุโขทัยไปโรงเรียนวชิราวุธ ปากทางเข้ามีป้ายชื่อร้านเห็นอย่างชัดเจน เลี้ยวเข้าไปจะเห็นบ้านโบราณอยู่ทางด้านขวาอันเป็นที่ตั้งร้าน จอดรถได้โดยรอบ
ทางร้านใช้วิธี Dry-aged ดรายเอจหรือการบ่มเนื้อและปลาเพื่อเพิ่มรสชาติและความนุ่มหอม
ถ้าอยากชิมสุดยอดเนื้อ ต้องเนื้อดรายเอจ สันในวากิวของญี่ปุ่น เกรด A5 สูงสุด(Tenderloin Dry-aged Japanese Wagyu A5) เพราะเป็นเนื้อสันในจะมีความนุ่มมากและมันไม่เยอะ กินแล้วไม่เลี่ยน ถูกใจคนที่ไม่ชอบมันมาก แถมราคาถือว่าดีเมื่อเทียบกับคุณภาพ และเทียบกับร้านทั่วๆไป (เริ่มต้น 150 กรัม 1,335 บาท++ ที่เห็นในจานคือ 300 กรัม 2,670 บาท++) เราสั่งท็อปด้านบนด้วยไข่หอยเม่นบาฟุน(Bafun Uni)(1,280 บาท++) อีกต่างหาก ห้ามพลาดเลยจ้า
หรือจะลองเนื้อริบอาย ดรายเอจ ออสเตรเลียนวากิว(Ribeye Dry-aged Australian Wagyu) ลายไขมันเบอร์สูงๆ(เริ่มต้น 200 กรัม 880 บาท++ ที่เราสั่งคือ 350 กรัม 1,270 บาท++) เนื้อชนิดนี้จะจิ้มกับซอสยูสุคาปาชโช่ซี่งมีรสเปรี้ยวเล็กน้อย เพื่อดึงรสชาติของเนื้อให้เด่นชัดยิ่งขึ้น ใครที่ชอบความหอมมันเพิ่มขึ้นอีก ให้สั่งท็อปด้วยฟัวกราส์หรือตับห่านอีก(390 บาท++ ให้ 2 ชิ้น) มีซอสเทริยากิรสอมหวานมาให้ราดต่างหาก
ที่ห้ามพลาดอีกอย่าง ข้าวคั่วเนื้อวากิว(230 บาท++)คั่วจนเนื้อกรอบๆหอมๆ ผัดข้าวได้เป็นเมล็ดร่วนหอมมันหนึบอร่อย ให้สั่งมากินคู่กับเนื้อด้วย
เนื้อส่วนอื่นๆเช่น สันนอก(สตริปลอยน์) หรือเนื้อโทมาฮอว์กชิ้นมหึมาหนักกิโลกว่าก็มีด้วยนะจ๊ะ และมีเนื้อแองกัสจากอาร์เจนตินาส่วนสันนอกเป็นอีกหนึ่งตัวเลือก
ซึ่งถ้าใครไม่กินเนื้อ สามารถสั่งได้หลายอย่าง แนะนำให้ลองซาชิมิต่างๆ เราสั่งปลาดิบมารวมๆกัน ซึ่งความจริงคือต้องสั่งปลาดิบแต่ละชนิดแต่ละประเภท คิดราคาต่อจำนวน 3 คำ แล้วสั่งมารวมในจานเดียว มีทั้งปลาเนื้อขาวต่างๆ(600 บาท++ ต่อ 3 คำ) ซึ่งมีให้เลือกทั้ง ปลาตาเดียว(Hirame) ปลามาได(Madai) ปลากินเมได(Kinmedai) ปลาดาบเงินญี่ปุ่น(Tachiuo) ปลาชิมะอาจิ เป็นต้น
อีกทั้งปลาฮอนมากุโระ หรือปลาทูน่าครีบน้ำเงินชั้นเลิศ สั่งได้ทั้งเนื้อแดงอกามิ(3 ชิ้น 580 บาท++) ชูโทโร่(880 บาท++) และโอโทโร่ มันเยอะสุด(990 บาท++)
นอกจากนี้ยังมีหอยเชลล์หรือฮอกไกโดโฮตาเตะไซส์ใหญ่เนื้อสดหวานอีกด้วย(480 บาท++)
และมีเมนูปลาดรายเอจฮามาจิคาร์ปาชโช่(Dry-Aged Japanese Hamachi Carpaccio)(360 บาท++) จิ้มซอส ยูสุคาร์ปาชโช่ตัวเดียวกัน ซึ่งวันนั้นมีปลาพิเศษแถมมาอีก 1 ตัว คือปลาดรายเอจเท็นเน็นบุรี(Tennen Buri)(600 บาท++) คือปลาบุรีธรรมชาติสีเนื้อปลาจะแดงเป็นพิเศษกว่าปลาเลี้ยง
กลับมาที่เมนูกริลล์ย่าง ถ้าชอบกินปลา ขอเชียร์ปลาหิมะหรืออีกชื่อหนึ่งคือปลากะพงชิลีย่างมิโสะ Miso Chilean Sea Bass (Snow fish) (150 กรัม 380 บาท++) ปลาเนื้อเป็นก้อนหอมมัน หอมหวานด้วยมิโสะ หรือถ้าชอบรสธรรมชาติก็ให้สั่งปลาหิมะย่างเกลือ(250 กรัม 630 บาท++)
เมนูซิกเนเจอร์ที่ห้ามพลาดคือ กุ้งแม่น้ำย่าง ขนาดยักษ์มหึมา สั่งมาแบ่งกันกิน 2 คนได้สบาย(หนัก 500- 800 กรัม ขนาดแล้วแต่ได้มา 1,280 บาท++) มันกุ้งเยิ้มๆเต็มหัวนั้นให้ราดด้วยหัวน้ำปลาเข้มข้น ส่วนเนื้อกุ้งแม่น้ำให้คลุกด้วยน้ำปลาหอมปรุงรส กินกับข้าวสวยร้อนๆ
และมีซี่โครงแกะย่าง(350 กรัม 1,100 บาท++)ซึ่งตอนนี้คัดมาจากฟาร์มที่นิวซีแลนด์ นุ่มๆและมันไม่เยอะจนเกินไป ราดด้วยซอสไวน์ขาวเลมอน
มีเมนูย่างชั้นเลิศของดีอีกอย่าง ขาปูทาราบะหรืออลาสก้าคิงแคร้ปย่าง (300-400 กรัม 2,400 บาท++) ได้ชิมเนื้อขาปูเป็นยวงยาวๆเต็มๆ ที่นี่มาสดๆไม่ได้ต้มเกลือมาก่อน จึงไม่เค็มเกินไป จิ้มกับซอสยูสุพอนสึรสเปรี้ยว
นอกจากของย่าง ปลาดิบ ยังมีของกินดีๆอีกเพียบ ห้ามพลาด ซีซาร์สลัด ราคาดีมากๆ เพียง 180 บาท++ เท่านั้น ผักคอสกรอบๆ ราดน้ำสลัดซีซาร์ผสมปลาอันโชวี(คนไทยจะเรียก แอนโชวี) ปลาร้าอิตาลี ไว้แล้ว โรยหน้าด้วยเบคอนกรอบและชีสจัดเต็ม
ถ้าชอบสไตล์ญี่ปุ่นก็มี เป๋าฮื้อหรืออวาบิเทมปุระ(Awabi Tempura) ตัวโตๆ จิ้มกับซอสตับเป๋าฮื้อวาซาบิมาโย ราคาดีมาก(280 บาท++)
หรือจะเป็นเมนูฝรั่งเศสและยุโรปตะวันตก เอสคาร์โกต์(Escarcot)(390 บาท++) หรือเมนูหอยทากฝรั่งเศสในซอสเนยกระเทียม ซุปข้นปูในแป้งพัฟเพสตรี้(280 บาท++) ใส่เนื้อปูเป็นก้อนๆ เมนล็อบสเตอร์(Maine Lobster)(2,820 บาท++)เนื้อสดหวาน (ที่นี่ได้ล็อบสเตอร์เปลือกนิ่มมาเป็นพิเศษ) ซอสเนยกระเทียม กินกับพิวเรดอกกะหล่ำและผักโขม
ร้านนี้เหมาะสำหรับสังสรรค์หรือพาครอบครัวมาเลี้ยงฉลอ เช มิลิน เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่ 11 โมงครึ่ง ถึง 23.00 น. ควรโทรจองโต๊ะล่วงหน้าที่ 09-0235-6424 เลือกนั่งได้หลายโซนนะจ๊ะ