สเต๊กเฮาส์ใจกลางสุขุมวิทนี้ตั้งอยู่ที่โครงการ 39 บูเลอวาร์ด (39 Boulevard) ฝั่งขวาของเส้นทางเดินรถทางเดียวของซอยพร้อมจิต ที่มุ่งหน้าจากซอยสุขุมวิท 39 ไปสุขุมวิท 31 นับเป็นร้านสเต๊กเฮาส์ในบรรยากาศฟาร์มชนบทของฝรั่งเศสที่แม้เพิ่งเปิดมาได้ไม่กี่ปีแต่กลายเป็นร้านชื่อดังของกรุงเทพฯ ไปแล้ว
เชฟที่ดูแลร้านเป็นเชฟหนุ่มหล่อชาวฝรั่งเศส เชฟเจอริโก แวน เดอร์ วูล์ฟ (Jeriko Van Der Wolf) ที่แม้มีอายุไม่มากแต่กลับเคยผ่านประสบการณ์กับร้านมิชลิน 3 ดาวในฝรั่งเศสมาแล้ว จุดเด่นของร้านโคคอตนั้นอยู่ที่การคัดสรรวัตถุดิบชั้นดีทั้งจากในประเทศและจากทั่วโลก อีกทั้งยังสร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเจ้าของฟาร์มและผู้ผลิตวัตถุดิบในเมืองไทย ที่นี่ใช้วัตถุดิบหลายอย่างจากโครงการหลวง จุดเด่นอีกอย่างของโคคอตคือการใช้เตาถ่านบาร์บีคิวปิ้งย่างและรมควันชั้นดีจากออสเตรเลีย ชื่อว่า Kamado Joe จึงมั่นใจได้ว่าสเต๊กที่ได้จะนุ่มและชุ่มฉ่ำ หอมอร่อยทุกชิ้น
แน่นอนว่ามาร้านโคคอตก็ต้องลิ้มลองเมนูปิ้งย่างต่าง ๆ ที่สุดของที่สุดต้องยกให้สเต๊กโทมาฮอว์กชิ้นโต ๆ หนา ๆ มีกระดูกติดเหมือนรูปขวานของอินเดียนแดง ที่นี่ใช้สเต๊กโทมาฮอว์กออสเตรเลียนวากิว (Tomahawk Australian Wagyu) ที่มีลายไขมันหรือมาร์เบิลสกอร์เบอร์ 6 ซึ่งถือว่ามีมันแทรกเยอะเพียงพอ ให้ความนุ่มชุ่มฉ่ำดีนักแล เมื่อย่างในเตาบาร์บีคิวแล้วก็จะนำไปอบให้ข้างในชุ่มฉ่ำอีกที เลือกได้หลายขนาด มีตั้งแต่ขนาด 1.4 กิโลกรัม ซึ่งสามารถแบ่งกัน 2-3 คนได้สบาย หรือถ้าต้องการชิ้นยักษ์กว่านี้ก็มี 1.6, 1.8 และ 2 กิโลกรัมให้เลือกด้วย ข้อดีอีกอย่างคือเราสามารถเลือกซอสมากินคู่กับโทมาฮอว์กได้ถึง 3 ชนิดจากทั้งหมด 8 ชนิด
ซอสยอดนิยมคือซอสพริกไทยเสฉวนหอม ๆ ซอสแบร์เนส (Bearnaise) ข้น ๆ น้ำจิ้มแจ่วถูกปากคนไทย และซอสเนยกระเทียมสมุนไพร นอกจากนี้ยังมีซอสบลูชีส ซอสไทยวิสกี้บาร์บีคิว ซอสสมุนไพรชิมิชูรีสไตล์ละตินอเมริกา และซอสศรีราชาทำเอง ส่วนเครื่องเคียงก็มีให้เลือกมากมาย แต่ที่เด็ดสุดต้องยกให้มันบดทรัฟเฟิล
สำหรับคนที่ต้องการเนื้อชิ้นกำลังดีและนุ่มสุด ๆ แล้วละก็ ขอแนะนำเนื้อริบอายออสเตรเลียนวากิว (Ribeye Wagyu) สายพันธุ์แท้ 100% มีทั้งขนาด 300 กรัมสำหรับกินคนเดียวกำลังดี และ 500 กรัมแบ่งกันได้ 2 คน สำหรับคนไม่กินเนื้อก็มีเมนูยอดนิยม คือ ไก่ย่างเบบี้ชิกเก้น (Baby Chicken) ย่างบนเตาโรติสเซอรีหมุน ๆ ของฝรั่งเศส เสิร์ฟมาทั้งตัวบนถาดหลุมไม้ รองด้วยหญ้าอัลฟัลฟา ให้ความรู้สึกเหมือนนั่งอยู่ในฟาร์มจริง ๆ ไก่ที่ใช้เป็นไก่เลี้ยงปล่อย (Free Range Chicken) ที่หมักจนนุ่มและหอม ย่างจนหนังกรอบ เนื้อในนุ่มชุ่มฉ่ำ จิ้มน้ำจิ้มแจ่วเข้ากันดี ห้ามพลาดเลยเป็นอันขาด
ลืมบอกไปว่ามีเมนูเรียกน้ำย่อยที่ไม่ควรพลาดเช่นกันคือเนื้อรมควันกับชีสบูร์ราตา (Smoked Beef & Burrata) เนื้อรมควันชิ้นบาง ๆ นุ่มหอมม้วนเป็นแท่งสอดไส้ชีสบูร์ราตาหอมมันถึงใจ โปะหน้าด้วยแยมมะเขือเทศเชอร์รีหวาน ๆ แล้วเหยาะบัลซามิกเข้มข้นลงไปด้วย อย่าเพิ่งอิ่มนะจ๊ะ โคคอตมีของหวานแบบฝรั่งเศสที่เข้มข้นอีกหลายอย่างให้ลอง ปารี-เบรสต์(Paris-Brest) แป้งชูเพสตรีไส้พราลีนเฮเซลนัตครีม รูปร่างกลมเหมือนวงล้อ และอีกเมนู Valrhona Chocolate x Caramel ที่ใช้ช็อกโกแลตชั้นเลิศของฝรั่งเศสหลายอย่างในจานเดียว เข้มข้นถึงใจ นอกจากนี้โคคอตยังมีเมนูอาหารทะเล เช่น หอยเชลล์ ล็อบสเตอร์ และแซลมอน รวมถึงพาสต้าและสลัดหากต้องการชิมอาหารหลากหลาย ร้านโคคอตฟาร์มโรสต์แอนด์ไวน์เนอรี่ (Cocotte Farm Roast & Winery) เปิดบริการทุกวัน มื้อกลางวัน 11 โมงเช้าถึงบ่าย 3 โมง มื้อค่ำ 6 โมงเย็นถึงเที่ยงคืน สำหรับมื้อค่ำควรจองล่วงหน้าเพราะมักจะแน่นอย่าบอกใครเลยนะจ๊ะ